3/26/2023

ว่าด้วยเรื่อง "เช็งเม้ง" 

กับประเด็นรอยต่อของเจนเนอเรชั่น

เสียงประทัดดังกึกก้อง กัมปนาท กระแทกโสตประสาทไปจนถึงแกนสมอง...

เทศกาลเช็งเม้ง หรือ 清明节 (Qīng Míng Jié) ของครอบครัวสามีในวันนี้พี่ๆ น้องๆ มากันไม่เยอะมากก็จริง แต่ก็ทำให้พวกเราได้นั่งคุยได้สนุกสนานและค่อนข้างทั่วถึง ท่ามกลางอากาศร้อนระดับนรกชั้นต้น conversation ที่เกิดขึ้นไม่ต้องวิเคราะห์ก็รู้ได้ว่าเป็นบทสนทนาในกลุ่มพี่น้องที่เริ่มเข้าสู่วัยผู้ใหญ่...มาก (พูดให้เพราะไว้ก่อน เกรงใจพี่ๆ เค้า) ด้วยวัยและ.. Blue Label สีอำพันนุ่มละมุนคอ..😅 พวกเราจึงเริ่มอยากจะรู้ว่า...



"ทำไมต้องจัดเช็งเม้งในเดือนที่ร้อนที่สุด...วะ?"

"ใครกำหนดว่าเช็งเม้งต้องวันที่เท่านี้...ถึงวันที่เท่านั้น..?"

"เปลือกหอยนี่มัน signify อะไรอะ?"  

"อิสรภาพทางความคิด กับกาลเทศะ มันไม่เหมือนกัน เด็กสมัยนี้ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แต่เข้าใจผิดหมด"

ไปจนถึประเด็นหนึ่งที่สะกิดหัวใจ แล้วทำให้ครุ่นคิดมาจนกลับถึงบ้าน...

"เดี๋ยวนี้มีแนวคิดของเด็กรุ่นใหม่ที่มองว่าไม่จำเป็นต้องกตัญญู หรือตอบแทน หรือทดแทนคุณพ่อแม่ เพราะพวกเค้าไม่ได้ขอมาเกิด... ทำให้เค้าเกิดมาเอง พ่อแม่ก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว" 

ประเด็นนี้ เคยได้ยินมาบ้าง แต่วันนี้..อาจเป็นเพราะเรานั่งสนทนากันอยู่หน้าป้ายฮวงซุ้ยของบรรพบุรุษต้นตระกูล มันเลยมีความหมายสะเทือนใจมากกว่าที่เคยรู้สึก เพราะเรารักพ่อแม่ บรรพบุรุษของเรา เราสำนึกในบุญคุณ และค่านำ้นม (และค่าเรียน) ที่พ่อแม่ทุ่มเทให้มาตลอดชีวิต... วันนี้คนรุ่นใหม่กลับมองข้าม "คุณค่า" นี้ไปอย่างน่าเสียใจ

ถ้ามองเพียงแค่..การทำให้เกิด... เด็กๆ ก็ไม่ผิดที่จะคิดเช่นนั้น แต่มันเป็นการมองที่เปลือกนอก มองเพียงผิวเผินจริงๆ  หากเปิดใจ มองประเด็นนี้ให้กว้างและยาวขึ้น ก็จะเห็นแจ้งว่า เมื่อชีวิตได้อุบัติขึ้นในท้องแม่ ทั้งคนเป็นแม่และพ่อ (to be) ต้องทำอะไรบ้างในการเตรียมต้อนรับชีวิตน้อยๆ ที่กำลังจะมาเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัว คนเป็นแม่ต้องทนทุกข์กับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายสารพัดรูปแบบทั้งก่อนและหลังคลอด พ่อแม่เลี้ยงดู ทะนุถนอมด้วยความรัก ทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน๊อตเพื่อส่งให้เรียนจนมีความรู้ มีอาชีพเลี้ยงตนได้ และที่สำคัญพ่อแม่ (ส่วนใหญ่) "ไม่ต้องการ" สิ่งใดตอบแทนจากลูก เป็นการให้ที่ไม่ได้หวังการชดใช้ ให้ด้วยจิตที่บริสุทธิ์

มนุษย์แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉานตรงที่เรามี "สามัญสำนึก" เรื่องความกตัญญูก็เป็น "สำนึก"  ที่ควรจะเป็น "สามัญ" เพราะฉะนั้นถ้าความคิดจดจ่ออยู่แค่ ...การทำให้เกิด... แน่นอนว่าจะไม่สามารถมีสามัญสำนึกที่จะทดแทนคุณได้เลย

เคยอ่านบทความที่พระท่านเขียนไว้ทำนองว่า การที่พ่อแม่บางคนเรียกร้องให้ลูก "ตอบแทนบุญคุณ" นั้น มันเป็นปมปัญหาของพ่อแม่ แต่ไม่ใช่สาระสำคัญของลูก การที่เราไม่รู้สึกหรือสำนึกที่จะทดแทนคุณใครนั่นต่างหากที่เป็นปัญหาของเรา คือเราไม่มีความคิด ไม่มีสามัญสำนึกนั่นเอง คนเรามีหลากหลายรูปแบบ มีทั้งคนดีและไม่ดี พ่อแม่ก็คือคนจึงมีได้ทั้งดีและไม่ดี แต่เราไม่ควรเอาสิ่งไม่ดีของท่านมาเป็น "ประเด็น" อ้างสำหรับการ "ไร้" สามัญสำนึก ซึ่งควรจะเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราเป็น "มนุษย์" และแตกต่างจากการเป็น "เดรัจฉาน"

จากตรงนี้..ก็ส่งต่อไปประเด็นการสนทนาที่ว่าด้วยเรื่องการมองโลกเพียง "ด้านเดียว" ของมนุษย์เจนใหม่แห่งโลกที่มีแต่การเปลี่ยนแปลง ... 

เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ในวัยผู้ใหญ่..มาก 😅 ชื่นชมที่เด็กรุ่นใหม่มีความคิดเป็นของตัวเอง และกล้าแสดงออก กล้านำเสนอความคิดนั้นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากในรุ่นก่อนๆ และเป็นสิ่งที่จำทำให้ประเทศชาติเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ (ในขณะที่คนรุ่นก่อนๆ เป็นทำนองตามๆ กันไป ด้วยวัฒนธรรมที่ผู้ใหญ่ว่าไง เด็กก็ต้องว่างั้น...มันก็เลยไม่ค่อยจะเจริญ) แต่การมองโลกเพียงด้านเดียว และการนำเสนอความคิดในแบบก้าวร้าว มันไม่เท่ากับความล้ำ หรือทันสมัย เพราะทุกๆ สิ่งมีที่มา ที่ไป บางครั้งมันคงต้องมองที่บริบท วัฒนธรรม และแก่นสารในแบบองค์รวม โลกไม่ได้มีเพียงแค่สีดำกับสีขาว แต่มันเป็นสีเทา ซึ่งประสบการณ์เป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญในการมองเห็นเช่นนี้ ... เมื่อประสบการณ์น้อยกว่าน้อย มีเพียงความคิดก้าวหน้า ที่เอาแต่จะก้าวไม่สนว่าก้าวแล้วจะตกเหวหรือไม่นั้น ก็ควรให้ความเคารพ ที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า respect (ไม่ใช่เคารพแบบต้องตามผู้ใหญ่ในวัฒนธรรมแบบเดิมๆ) กับความคิดและประสบการณ์ที่สะสมมายาวนานกว่า เห็นต่างได้ ไม่ผิด แต่ก็ต้องอยู่ร่วมกันได้ ไม่งั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการมีกีฬาสีในประเทศชาติหรอก

บทสนทนาแห่งปัญญาชนวัยเก๋า..มาก 😅 ก็ดำเนินมาได้แค่นี้ ... ก็ถึงเวลา "ลา" ของไหว้ แล้วก็ได้เวลา "กิน" ก็เลยจบประเด็นเครียดๆ เปลี่ยนมาคุยกันเรื่องจับฉ่ายและการแกะกุ้งแทน.... 



เจอกันปีหน้าค่ะ

ปล. ขอเอาภาพของพี่ๆ มาลง ใช้ความเป็นญาติแทน PDPA นะครัช 😇😇

#เช็งเม้ง 26 มีนาคม 2566

#Family #PorStory


1/28/2011

หนีความวุ่นวายไป "ชานทะเล"

To relax the mind is to lose it.


เป็นความประทับใจอีกครั้งหนึ่งกับการหลบหลีกความวุ่นวายในกรุงเทพฯ และความเครียดจากการทำงาน ทำให้อยากจะหนีไปให้ไกลๆ อยากขึ้นไปอยู่เงียบๆบนดอยโน่น แต่ก็ทำไม่ได้เพราะไม่อยากให้เจ้าตัวเล็กลาโรงเรียน ก็เลยต้องหาที่ที่ไปได้เสาร์อาทิตย์ ลอง search หาเรื่องราวท่องเที่ยวเป็นแรงบันดาลใจในเว็บ 1081009 ตอนแรกก็ลองดูๆพวกเกาะช้าง เกาะกูด แต่ก็ติดที่ต้องข้ามเรือไป-กลับ สองวันอาจไม่พอ เลยลองดูทะเลอื่นๆในจังหวัดตราด หาไปหามามาก็เลยมาเจอสวรรค์บนดินอีกแห่งเข้าจนได้เลย เป็นรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ชื่อว่า Centara Chaan Talay Resort & Villas (แหมยาว..ขอเรียกสั้นๆว่า "ชานทะเล" ก็แล้วกัน เพราะรู้สึกว่ามันโรแมนติกดี) อยู่ไม่ไกล ใกล้เกาะช้าง แต่อยู่บนฝั่ง main land ของจังหวัดตราดนี่เอง ไม่ต้องข้ามเรือเหมือนไปเกาะช้าง ก็เลยคุยกับฝาละมีว่ามันน่าสนใจดีนะ ดูในรูปก็ดูสวยดี ดูสะอาด สงบ และทีสำคัญมีชายหาดที่มีทรายขาว ทะเลก็ดูน่าจะเล่นได้ ซึ่งไม่เหมือนรีสอร์ทหลายๆที่ที่ไปมา ที่ไม่ค่อยมีหาดทรายให้เด็กเล่น หรือไม่ทะเลก็เล่นไม่ได้ ก็เลยมองเหน้ากันแล้วก็...เอาวะ ลองดูแค่ตราดเอง ก็เลยเป็นที่มาของทริป "หนีความวุ่นวายไป "ชานทะเล"....


ออกจากกรุงเทพฯช่วงเช้ามุ่งหน้าสู่จังหวัดตราด และทานข้าวที่ ร้านพิกุลโภชนา อยู่ในเขตอำเภอขลุง จันทบุรี ถามๆเค๊ามาคนเค๊าแนะนำร้านนี้ เป็นร้านยอดฮิต (อิอิ เรื่องกินก็ต้องแอบทำการบ้านไปล่วงหน้่า..) ของเค๊าก็อร่อยจริงๆ เราสามคนซัดเรียบทั้งปู ทั้งปลา ทั้งกุ้ง ทั้งปลาหมึก ตบท้ายด้วยไอติม อิ่มแปร้จนแทบจะขับต่อไปไม่ไหว..

จากร้านออกมาก็เข้าจังหวัดตราด วิ่งต่อไปอีกประมาณเกือบชั่วโมงก็มาถึง เกือบเลยทางเข้า ป้ายเล็กไปนิ๊ด แต่ก็พอเบรคทัน เข้ามาจอดรถเสร็จปุ๊บ รถกอล์ฟมาเที่ยบปั๊บ ขนกระเป๋าที่มีอยู่ใบเดียว (แต่มีของเล่นอย่างอื่นอีกมากมาย) เข้าไปถึงตรงล็อบบี้ก็ check-in คุณแหม่ม เจ้าหน้าที่ต้อนรับก็ทำหน้าที่เป็นอย่างดี แนะนำทุกอย่าง ก็เลยได้รู้ว่าโอ้โห รีสอร์ทเงียบๆเนี๊ยะ มีกิจกรรมให้ทำเยอะเหมือนกัน มีทั้งจักรยานให้ขี่เล่นทั้งในรีสอร์ท และออกไปด้านนอก จะจ้างไกด์ไปด้วยก็ได้ มีเรือคายัคให้พายเล่นฟรี มีกิจกรรมให้เด็กๆไ้ด้ทำ (มีเพนท์เสื้อ และทำเที่ยนเจล)ที่สำคัญ...มีเมนูสปาให้เลือกหลายแบบทีเดียว ราคาก็ไม่ได้แพงโอเวอร์...(อันนี้ส่วนตัวคุณแม่ผู้รักการนวดและสปาเป็นชีวิตจิตใจ) หลังจาก check-in รถกอล์ฟคันเดิมก็พาเราไปยังห้องพัก เปิดประตู เปิดแอร์ให้เสร็จสรรพ แล้วก็ทิ้งให้เรา "switch off" ได้อย่างเต็มที่ และเป็นส่วนตัว













แทบจะทันทีที่น้องพนักงานที่พาเรามาส่งหันหลังกลับไป เจ้าพลอยก็คว้าถุงเครื่องมือก่อสร้าง (ปราสาททราย) มายืนรอที่น่าประตู พร้อมใส่เกียร์วิ่ง จนเราสองคนเริ่มสงสัยว่าเอ...จะได้พักผ่อนจริงไหมหว่า??? แต่ก็ปรับความคิดให้บวกได้ทันท่วงที คุณแม่ตัวดีก็เลยคว้ากล้องสะพายคอ จูงมือเจ้าพลอยวิ่งออกไปรับแสงแดดตอนบ่ายที่หาดทรายกัน..



เดินลงไปที่หาดทรายปล่อยช่างก่อสร้างให้เล่นทราย แล้วก็เลยได้เดินสำรวจด้านหน้าของรีสอร์ท... โอ้แม่เจ้าไม่น่าเชื่อว่าในจังหวัดตราด (ที่ไม่ใช่เกาะช้าง เกาะกูด) จะมีชายหาดกว้างและทะเลน่าเล่นแบบนี้ ที่สำคัญด้านข้างๆก็ไม่มีรีสอร์ทอื่นอีกเลยทั้งซ้ายและขวาเพราะฉะนั้นเป็นหาดที่มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก เหมาะกับการหนีความวุ่นวายมาจริงๆ รวมทั้งตัวรีสอร์ทเองก็ไม่ได้ใหญ่มาก รู้สึกว่าจะมีแค่ 40 กว่าห้องเท่านั้น ชอบจริงๆที่มันไม่วุ่นวาย ไม่พลุกพล่านแล้วก็ไม่เสียงดัง ด้านหน้าชายหาดของรีสอร์ทเป็นห้องพักแบบ beach front น่าอิจฉาสุดๆเลย มีอ่าง Jacuzzi อยู่หน้าห้องพัก มองออกไปเห็นทะเลเลย อิจฉาๆๆๆๆๆ

Beach Front Villa น่าอิจฉาที่สุด (ไม่มีแขกพักเลยเข้ามาถ่ายได้แบบใกล้ชิด)
สระน้ำสวยดี


เสน่ห์อีกอย่างน่าจะเป็นต้นสนที่อยู่รายล้อมรอบๆหาดและตัวรีสอร์ท ดูธรรมชาติสวยดี แอบมีความโรแมนติกนิดๆ แค่นี้ก็ fin แล้ว.....  สักพักใหญ่พอเริ่มร้อน ก็กลับเข้าห้องพัก ชิวๆ ดูหนังเล่น..พอแดดร่มลมตกเจ้าพลอยก็เตรียมเปลี่ยนชุดว่ายน้ำไปลงสระ คราวนี้เป็นหน้าที่คุณพ่อที่จะไปลงด้วย สระเค๊ามีแบ่งเป็นส่วนสระเด็กด้วย ทำให้คุณพ่อได้ว่ายน้ำออกกำลังเล่น ไม่ต้องลงไปยืนเฝ้าพลอยเหมือนสระอื่นๆ ส่วนแม่นะเหรอ..เหอะๆ ก็นั่งจิบ Maliblue แก้วนี้ไปชิวๆ ขอบอกว่ามันเป็น moment แห่งความสุขจริงๆ ตอนที่นอนอยู่ริมสระแล้วหนังสือนิยายเล่มใหม่ และมี Maliblue แก้วโปรดอยู่ข้างๆ มีลมโชยปะทะหน้าเป็นระยะๆ โอย..แค่คิดถึงก็อยากวิ่งกลับไป "ชานทะเล" อีกแล้ว

ซักประมาณห้าโมงครึ่ง เราก็เริ่มเห็นแสงส้มของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับฟ้า สวยจริงๆ ตอนเข้ามาคุณแหม่ม (เจ้าหน้าที่รีสอร์ท) ก็แอบเกริ่นไว้แล้วว่าที่พระอาทิตย์ตกสวยมากๆ เราก็ฟังๆไว้ ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พอมาเห็นด้วยตาตัวเองถึงกับตะลึงจริงๆ พระอาทิตย์ดวงกลมโต ลอยอยู่ใกล้เหมือนมือจะเอื้อมได้ถึง ส่องแสงสีแดงส้มสะท้อนกับน้ำทะเล ที่ว่า fin ไปแล้วตอนบ่าย เทียบไม่ได้กับ moment ตอนนี้เลย สวยจนอยากให้คุณสามีขอแต่งงานอีกครั้งท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงแบบนี้ (อยากเป็นนางเอก) โรแมนติกม๊ากกกกกกกกกกกกกกก รูปน่าจะพูดได้ดีกว่า




ใกล้แค่เพียงมือเอื้อม





แอบถ่ายรูปคู่รักคู่นี้มา เผอิญเค๊ามาอยู่ในตำแหน่งที่มันสวยพอดีเลย โรแมนติกสุดๆ เห็นแล้วอยากย้อนเวลากลับไปสวีทแบบนี้บ้างอ่ะ

Happy moment @sunset scene

พอหายตื่นแต้นกับฉาก sunset ตรงหน้า น้ำย่อยก็ออกฤทธิ์ทันที ก็เลยเดินขบวนตรงเข้าไปที่ร้านอาหารของรีสอร์ท ไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะเป็นการดินเนอร์ใต้แสงเทียน ทำให้ถ่ายลำบาก (จริงๆคือหิวจนลืมถ่ายรูป) อาหารก็อร่อยดี ยำผลไม้ชานทะเลก็อร่อยมาก ถั่วทอดสมุนไพรที่คุณฝาละมีสั่งมาแกล้มกับเบียร์ก็อร่อย เจ้าพลอยสั่งพิซซ่ามาก็โอเค แป้งไม่เหมือนแป้งพิซซ่าทั่วไป ออกเป็นแนวแป้งขนมปังมากกว่า แปลกแต่ก็รสชาติใช้ได้ สำหรับคนที่ต้องการพักผ่อน ขี้เกียจขับรถออกไปหาอะไรทาน อาหารที่นี่ก็ไม่เลวที่เดียว (ราคาก็ทั่วไป แพงกว่าร้านอาหารธรรมดา แต่ก็ไม่ต่างจากอาหารตามรีสอร์ทอื่นๆ)

เช้าวันรุ่งขึ้นเจ้าพลอยตื่นมาก็แทบจะวิ่งลงไปหาดทรายอีกรอบ จับอาบน้ำแทบไม่ทัน ต้องยอมรับว่าหาดทรายดีจริงๆ สะอาด ยังมีปูลม (ที่ตัวใหญ่มาก) วิ่งให้เห็นอยู่เลย ตอนไปเที่ยวเกาะช้าง หาดทรายยังไม่เท่านี้เลย ก็เลยเป็นหน้าที่คุณฝาละมีเอาพลอยไปเล่นหาดทราย (คุณแม่น่ะ นอนเอือกอยู่ในห้องนั่นแหละ แหมก็อ่านหนังสือกำลังสนุกกลางบรรยากาศสงบๆแบบเนี๊ย คอนิยายจะพลาดได้รึ?)  มีพักวิ่งมาทานอาหารเช้าที่มีให้เลือกเป็น American Breakfast หรือแบบไทย พวกข้าวต้ม เค๊าทำให้ใหม่เลย ไม่ใช่เป็นแบบบุบเฟ่ อิ่มแปร้กันไปอีกรอบ

พอแดดเริ่มแรง พ่อลูกก็พากันเข้าห้องพัก นอนดูหนังกันไปชิวๆ ส่วนคุณแม่...หึหึ..highlight อีกอย่างของทริปนี้ของคุณแม่ก็คือ "สปา" ค่าาาา  โหพลาดไม่ได้เลย  ลองไปเลือกดูจาก สปาเมนู แหมเลือกยาก อยากทำมันซะทุกอย่างเลย สุดท้ายก็เลือกนวดตัวเป็น แบบ Tranquility Massage เป็นการนวดน้ำมันแบบผ่อนคลาย (สุดๆ ขอบอกว่าผ่อนคลายสุดๆ) เลือกทำแบบ 90 นาทีไปเลย มาทั้งที ต้องจัดเต็ม... โห.. เป็น 90 นาทีที่ผ่อนคลายสุดๆ จริงๆอยากลอง สปาอีกแบบนึงที่เป็น signature ของ "ชานทะเล" เลย ใช้มะละกอด้วย ไว้เดี๋ยวคราวหน้าไปใหม่จะไปลองสปาเมนูนี้ดู




นวดเสร็จ ก็เกือบเที่ยง ก็เลยเก็บของ และเนื่องจากขี้เกียจแวะตามทางขากลับเราก็เลยตัดสินใจทานข้าวกลางวันก่อนออกไปซะให้เสร็จสิ้นเรื่อง เพื่อที่จะได้ยิงยาวถึงกรุงเทพฯไม่เย็นมาก สั่งอาหารแบบไม่ต้องเปลืองเซลล์สมอง ไก่ทอดสำหรับลูก หมูกระเพราไข่ดาวสำหรับพ่อและแม่ กลายเป็นว่า กระเพราอร่อยมาก เป็น surprise สุดท้ายก่อนกลับซะนี่...

กลับมาแล้วก็ยังรู้สึกประทับใจ เพราะในที่สุดความฝันที่จะได้นอนอ่านนิยายใกล้ๆทะเลแบบไม่มีใครมากวน (ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม) ก็เป็นจริงซะที.. เป็นการตัดสินใจเลือกรีสอร์ทได้ถูกต้องที่ซู๊ด.. ชานทะเล ชื่อก็เพราะ แถมโรแมนติก ดีใจที่ไม่ได้ใช้พลังมวลชนในการเลือก (ไม่งั้นก็คงไม่พ้นไปเกาะช้าง แหงมเลย)  บอกได้เลยว่่าทริปชานทะเลคราวนี้ fin อย่างแท้จริง!

The best moment

5/10/2010

11/25/2009

ทะเลหมอก...หลอกให้รัก



เป็นทริปที่ต้องบรรยายเป็นภาษาไทยถึงจะได้อรรถรส โหด มันส์ ฮา (ขอบวกทรหดเข้าไปอีกหนึ่งข้่อ) เมื่อคุณนายแม่ลูก ต้องไปทริปแบบนอนเต๊นท์ แต่ความยากลำบากมันไม่ได้อยู่ที่การนอนเต๊นท์ มันอยู่ที่การเดินทางแบบออกจากกรุงเทพสี่ทุ่มครึ่ง กว่าจะไปถึงที่กางเต๊นท์ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานก็ปาเข้าไป ตีหนึ่งครึ่ง ง่วงโคตรๆ จนไม่สามารถที่จะดื่มด่ำกับแสงดาวที่มีให้เห็นเต็มฟากฟ้าทีเดียว (ก็ยังแอบเห็นนะ) ไปถึงก็รีบกางเต๊นท์ รีบนอน ข้าวของ กระเป๋าไม่มีการขนลง เพราะต้องออกแต่เช้ามืด ไม่มีซะล่ะที่จะมีใครมากังวลเรื่องการอาบน้ำแปรงฟัน น่าจะมีแค่คุณนายสองแม่ลูกเท่านั้นแหละที่ฝ่าความมืดเดินไปแปรงฟันกันจนได้... 


หลับไปได้หน่อยเดียว (เพราะส่วนใหญ่นอนไม่หลับ กระสับกระส่ายซะส่วนใหญ่) ก็ถูกหัวหน้าทีมเดินมาปลุกที่เต๊นท์ ไอ้เราก็เอ...ตั้งนาฬิกาปลุก 6โมงเช้าตามที่หัวหน้าทีมสั่ง ไหงมันไม่ปลุก...ก็มันเพิ่งจะตีห้า สี่สิบนาที มองออกไปจากเต๊นท์ทุกคนเค๊าไม่ใช่แค่ตื่นแล้วอย่างเดียว เค๊าเก็บข้าวของเรียบร้อย เรียกว่าพร้อมใส่เกียร์เดินหน้าออกเดินทางได้แล้ว.... ว่าแล้วสามคนพ่อแม่ลูกก็รีบตะบี้ตะบันตื่น ช่วยกันเก็บเต๊นท์เอาขึ้นรถเพื่อไม่ให้คนอื่นต้องรอกันไปนานกว่านี้ ... แค่เล่ายังเหนื่อยเลย...


"ทะเลหมอก หลอกให้รัก"


จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่ยอดเขาพะเนินทุ่ง เพื่อต้องไปต่อคิวขึ้นให้ทันเวลาที่ทางอุทยาืนกำหนด จากจุดตรงที่กางเต๊นท์ของอุทยานก็ประมาณ 20 นาทีถึงครึ่งชั่วโมง ก็มาสู่ยอดเขาพะเนินทุ่ง พลอยได้หลับอีกตื่นนึง พอมาถึงถึงได้พอจะมีอารมณ์มาชมทะเลหมอกยามเช้า... หลังจากจอดรถ ก็เดินขึ้นจุดชมวิวเพื่อไปชมทะเลหมอกนี่แหละ...ก็สวยดี ดูฝันๆ แดดจัดมาก อากาศเย็นๆก็มลายหายไปพร้อมกับแสงตะวันที่สาดแสงแรงกล้าจนตาจะบอด... มันคงจะสร้างอารมณ์เคลิ้มฝันกว่านี้ถ้าอากาศมันเย็นๆ ชิวๆ และเพื่อนร่วมชมทะเลหมอกจะไม่ได้มากมายมหาศาลแบบนี้ !!!!


ดูเสร็จ (ใช้เวลาประมาณ 15 นาที บนจุดชมวิว) ก็ลงมา เตรียมหาที่พักกางเต๊นท์ ตอนนี้ก็เพิ่งจะประมาณ แปดโมงครึ่ง จัดการกางเต๊นท์เสร็จสรรพก็เริ่มทยอยกันอาบน้ำ ถึงตอนนี้เหงื่อก็ชโลมกายจนการอาบน้ำเย็นๆไม่ทำให้สะท้านได้เลย..  จากนั้นสมัครพรรคพวกก็เริ่มทำกับข้าวกินกัน เมนูหรูทีเีดียว มีการทำเกี๊ยวห่อใข่ (นกกะทา)... อากาศก็ร้อนขึ้น ร้อนขึ้น จนทำอะไรไม่ได้ จะไปนอนในเต๊นท์ก็ไม่ได้เพราะจะสุกเอา ก็เลยได้แต่นั่งทำกับข้าวกินกัน ดื่มกันตั้งแต่ตอนนนั้น....จนมื้อเย็น... เพราะมันไม่มีทีไปไหนเลย ตอนนี้แหละที่ทรมานที่สุด...


ว่างจนต้องกินกันทั้งวัน

ตกบ่ายแก่ๆ...จำนวนเต๊นท์ก็เพิ่มขึ้นเรื่่อยๆ จนแทบจะไม่เหลือที่เดิน Oh my god!!! มันสวยอะไรนักหนาถึงได้แห่กันขึ้นมากันขนาดนี้... สลัมบนยอดเขาดีๆนี่เอง...


สลัมบนยอดเขา!

ตกเย็น..อากาศก็ยังไม่ได้เย็นขึ้นซักเท่าไหร่เลย มาเริ่มเย็นจริงๆจังก็ปาไปประมาณ สองสามทุ่มโน่น แต่ด้วยความที่ไม่มีอะไรทำมาทั้งวัน ทำให้รู้สึกเหมือนซักห้าทุ่มมากกว่า ทั้งทีมก็นั่งกินหมูกะทะกันอยู่ในเต๊นท์กลาง อยู่ๆฝนก็เทลงมาอย่างหนัก บางเต๊นท์น้ำเข้าวุ่นวายกันไปเลย ที่แย่ไปกว่านั้นคือระหว่างฝนตกมือนึงถือตะเกียบกะแก้วเหล้า (สำหรับพวกผู้ชาย) อีกมือต้องยกชายเต๊นท์ไว้ไม่ให้น้ำฝนไหลเข้ามา ส่วนเท้าก็แช่อยู่ในน้ำเปียกๆ เย็นๆ  ก็มีตอนนี้แหละที่ทำให้รู้สึกว่้าอากาศเย็น (เป็นเพราะเท้าต้องแช่อยู่ในน้ำฝนเย็นๆ)....

หลังฝนตกพักใหญ่พวกหมู่ดวงดาวก็เพิ่งจะออกมาให้พลอยได้ยลโฉม..หลังจากที่พยายามส่องกล้องดูมาตั้งแต่พระอาทิตย์ตกดิน อย่างน้อยก็ยังมีตอนนี้ให้พลอยได้มีความสุข


วันรุ่งขึ้นเราก็ขึ้นไปที่จุดชมวิวเพื่อดูทะเลหมอกอีกครั้ง โอ้โห..พระเจ้าช่วย กล้วยทอด...ผู้คนไม่รู้มาจากไหนเต็มไปหมดเลย... เราก็ถ่ายรูปไปเรื่อยตั้งแต่ทะเลหมอก มาแมงมุม ไปจนถึงไรเคนบนต้นไม้... แล้วก็ขับลงเขามา... ที่เหลือก็ไม่มีอะไรมาก...




สรุปแล้วมันเป็นทริปที่ไม่ได้มีอะไรน่าประทับใจ ออกไปทางขำๆ ฮาๆ โหดๆ แล้วก็ร้อนโคตรๆเท่านั้นเิอง...



โหด มันส์ ฮา...

10/21/2009

Gajapuri....Serenity I've Longed For...



"Ploy on the Beach"


Another family trip to Koh Chang. This time we're going with my girlfriends. It was meant to be a reunion kind of a trip, but I did bring my family too. It was nice to see and chat with my old high school girlfriends again. We didn't do anything adventurous at all. We stayed in a nice resort, talked about what has been going on in our lives - just wanna catch up, and REST & RELAX. All of us has been tired from our work/life balance in everyday life in BKK. Going out there in a peaceful island and relax in a wonderful resort, Gajapuri Resort & Spa, is just what the doctor ordered. I came back refreshed. I wished I had one more day to relax there.  



"Relaxed couple beside the pool in a quiet peaceful afternoon..."



"Beach front garden (top left), Walkways within the resort (top right), Main pool with jacuzzi pool attached (bottom left), Private pool in the Pool Villa (bottom right)"



"Oh..peacefulness I'm longed for..."


My husband and sweet little Ploy were also happy. It was probably one of the happiest trip ever for Ploy as one of my friend also brought her 3 children. They played together and my daughter just didn't get bored like when she went alone with us in other trips. This was so good as all parents do have time to spend with ourselves and really get RELAXED, I could even get to go out and sit at the "pool bar" and have some cocktails! How cool was that!  



"Ploy in the jacuzzi pool with Daddy"


The resort itself is "one of a kind." I don't know about others, but I do like it very much that I have to write about it. At Gajapuri, there are not much to do, but that was all I, we (and I think a lot of people) would need: Clean, nice and big room with big screen plasma TV and DVD player in each room. The resort also provides tons of movie (very updated too) for guests to borrow. The bath and dressing room combined into one hugh room with jacuzzi inside was perfect. Ploy loves it very much. I guess the space design for the room is excellent. 


"Spacious living area and bath rooms with shower and jacuzzi"


The breakfast is also good. There were some different items that I didn't expect to find in a usual hotel/resort's breakfast that comes with the package. Besides regular bread, croissant, ham, salad...there were also Spaghetti Carbonara, nice hash brown, Vegetable stir-fired with butter, etc. And all tasted good. I'm impressed.


Now, the best part for me is The Spa. The lady who massaged me was very good. Plus the 20% discount offer, it's even make this one of the best experience. (sorry, I was so enjoyed that I forgot to take picture of the spa.) The resort provides a little "sala" at the beach front for guests who like to get massage and treatment along with the sea breeze. I meant to try having another massage at beach front sala, but didn't have enough time. Till next time, then.


But the best part for Ploy is actually the pool. It is not so big that it scares small children, but not too small either. There is a nice jacuzzi pool that we all sat in and just relaxed with the jacuzzi massage. The kids played in both pools and had a lot of fun - while, of course, I and my friends were sitting at the pool bar sipping wine and chatting... 


I didn't have much to write on as we didn't do much at all. Like I said, this was a really "RELAXED" trip and we pretty much just enjoyed the stay at the resort. I will definitely go back there again...soon.














'Till next time...Gajapuri...

5/19/2009

A Birthday Getaway





A birthday get-away this time was simply an escape-from-life days for me and my husband. We knew that the place is not a family destination, but we’ve longed for the peacefulness like this. We heard about this resort for quite some times and had been interested. So, we took my Birthday as the opportunity to explore this place and experience the serenity, with hopes to calm down our everyday hectic lives.

"A very happy kid..."

So, we packed up a lot of art supplies, including a lot of my most-reserved rubberstamps for our daughter – so she couldn’t get bored. I thought we could open a mini art studio there with the amount of supplies we brought with us. ;-D And it proved that it was the right decision. Without those supplies, Ploy would have been bored so badly.


"Enjoys the ride"
Another great decision was bringing her bicycle. She had fun with it a lot. The weather in the morning was fresh and she enjoyed the ride, even it was a short ride within the resort.



Speaking about the resort, I think it’s worth mentioning about it. Eva Avataar Resort & Spa was a real peaceful place for adults only. For those seeking quiet moments to just relax, read, swim, and be with yourselves, it is a perfect place. The serenity is in the air. It is situated in the midst of small mountains. When we woke up, we just went out to the personal terrace behind our room and experience the peaceful-mountain view, with beautiful fishes in the ponds next to the terrace itself.


The swimming pool was great (for adult only, definitely not for small kids). In the pool, I felt like I was hugged by the mountain surrounded and it gave me a great feeling that I can’t explain. It just felt so peaceful. (I’ve been using this word a lot, but it just fits perfectly with my feeling.)

"The hillside pool"



The bicycles are available for guests to use within the resort. It also gave me a childish feeling riding it. I just wished the road to ride was going and going with no ends.




"Bicycles for resort guests"



"A serene morning"

The morning ride with Ploy was fun and peaceful (again) at the same time – how can that be? But it was. It seemed like Ploy enjoyed being with herself as well. She just enjoyed it very much.


"My birthday cake"

A surprise from my hubby and Ploy came when we had dinner. They had made arrangement with the resort staffs to find me some cakes. The cake was so-so in taste (probably was the left-over from what the resort served during lunch time), but for me, it was perfect. I couldn’t ask for more. We brought the cake back to our room because a lot of bugs were bugging us and the “Took-Kae” (a big lizard-like animal) was present to scare the daylight out of my husband. We ordered two tasting-good Latte to peacefully sipped while we had cake on our bed watching TV. What a perfect birthday night. That’s all I’ve asked for, really. Thank you very much both of you for loving me. I love you too, very very much.


"A peaceful moment"